เพลโต (Plato)
เพลโต (Plato) เป็นนักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก เขาเป็นลูกศิษย์ของโสกราตีส เป็นอาจารย์ของอริสโตเติล เป็นนักเขียน และเป็นผู้ก่อตั้งอาคาเดมีซึ่งเป็นสำนักวิชาในกรุงเอเธนส์
เพลโตใช้เวลาส่วนใหญ่สอนอยู่ที่อาคาเดมี แต่เขาก็ได้เขียนเกี่ยวกับปัญหาทางปรัชญาไว้เป็นจำนวนมาก โลกปัจจุบันรู้จักเขาผ่านทางงานเขียนที่หลงเหลืออยู่ ที่ถูกนำขึ้นมาแปลและจัดพิมพ์เป็นในช่วงการเคลื่อนไหวด้านมนุษยนิยม งานเขียนของเพลโตนั้นส่วนมากแล้วเป็นบทสนทนา คำคม และจดหมาย ผลงานที่เป็นที่รู้จักของเพลโตนั้นหลงเหลืออยู่ทั้งหมด อย่างไรก็ตามชุดรวมงานแปลปัจจุบันของเพลโตมักมีบางบทสนทนาที่นักวิชาการจัดว่าน่าสงสัย หรือคิดว่ายังขาดหลักฐานที่จะยอมรับว่าเป็นของแท้ได้
ในระหว่างนั้นความเป็นไปในนครเอเธนส์ล้วนมีแต่ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อของศีลธรรม การเมือง และอาชญากรรม เพลโต และโสเครตีสจึงได้ร่วมมือกันที่จะขจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป แต่เป็นที่น่าเสียดายที่โสเครตีสต้องถูกประหารชีวิตเสียก่อน เนื่องจากรัฐบาลต้องการกำจัดบุคคลผู้ที่มีความคิดต่อต้านรัฐบาล ทำให้อุดมการณ์ทางการเมืองของเพลโตต้องหยุดชะงักไปชั่วเวลาหนึ่งและเดินทางออกจากกรุงเอเธนส์ท่องเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ นานกว่า 10 ปี แต่ในที่สุดเขาได้เดินทางกลับกรุงเอเธนส์ และดำเนินการด้านการเมืองต่อไป หลังจากที่ออกจากกรุงเอเธนส์ไปแล้ว เพลโตได้เดินทางไปที่เมืองเมการา เพื่อไปหายูคลิด (Euclid)เพลโตได้พักอยู่กับยูคลิดเป็นเวลานาน อีกทั้งยังได้ร่วมมือกันตั้งโรงเรียนขึ้นมาแห่งหนึ่งชื่อว่า สำนักปรัชญาเมการิก โดยได้ร่วมกับนักปรัชญาอีกท่านหนึ่งนามพาร์มีนิดิส (Parminides) ทำให้เพลโตได้ศึกษาหลักปรัชญาจากพาร์มีนิดิสได้อย่างลึกซึ้ง
ต่อจากนั้นเพลโตได้ออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ อีกหลายเมือง เช่น อิตาลี อียิปต์ ไซรานี และซิซิลี เป็นต้น ในระหว่างนี้เขาได้ศึกษาหาความรู้จากสำนักที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น เขาได้เข้าศึกษาที่สำนักปีทาโกเรียน (Pythagorean) ของปีทาโกรัสที่อิตาลี ส่วนที่เกาะซิซิลี เพลโตได้เข้าศึกษา ณ สำนักของพระเจ้าไดโนซีอุสที่ 1แห่งไซราคิวส์ (King Dionysius I of Syracuse) นอกจากจะศึกษาหาความรู้แล้ว เพลโตยังได้เผยแพร่แนวความคิดทางปรัชญาของเขาให้กับคนทั่วไปได้รับรู้ โดยการไปบรรยายตามสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง แต่เพลโตกลับถูกต่อต้านและส่งผลร้ายกลับมาสู่ตัวของเขา คือ เขาถูกจับไปขายเป็นทาสแต่โชคดีที่เพื่อนของเขาผู้หนึ่งได้ไปไถ่ถอนตัวเขาออกมา หลังจากที่เพลโตได้เดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ เป็นเวลานานหลายปี อีกทั้งเขาก็ได้ศึกษาหาความรู้จนมีความเชี่ยวชาญในวิชาการต่าง ๆ หลายสาขา ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับกรุงเอเธนส์ อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเพลโตเดินทางมาถึงกรุงเอเธนส์ ประมาณ 387 ก่อนคริสต์ศักราช เขาได้ตั้งโรงเรียนขึ้นแห่งหนึ่งที่กรุงเอเธนส์ชื่อว่าอะเคดามี (Academy) ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับวิชาปรัชญา วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ อีกทั้งเขายังได้สร้างสวนเพื่อออกกำลังกายสำหรับนักศึกษาในอะเคดามี เพราะหลักการในการเรียนการสอนของเพลโตมีอยู่ว่า ความรู้ทางการบริหาร วรรณคดีและดนตรี เป็นการศึกษาเบื้องต้น ซึ่งเป็นรากฐานของการศึกษาวิชาปรัชญาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาในขั้นสูงต่อไป ส่วนการเรียนการสอนในสถาบันแห่งนี้ก็ทันสมัยต่างจากการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมของกรีซ ที่ลูกศิษย์มีหน้าที่นั่งฟังแต่เพียงอย่างเดียว เชื่อในสิ่งที่ครูบอกทั้งหมด ห้ามโต้แย้งอย่างเด็ดขาด แต่เพลโตได้ใช้วิธีการตั้งคำถามเพื่อให้ลูกศิษย์มีโอกาสได้พูด ใช้เหตุผลในการตอบคำถาม และค้นคว้าหาความจริงด้วยตนเอง การสอนแบบนี้ของเพลโตได้นำมาจากโสเครตีส อาจารย์ของเขานั่นเอง โรงเรียนของเพลโตแห่งนี้มีผู้นิยมส่งบุตรหลานเข้ามาศึกษาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้สถาบันอะเคดามีของเพลโตยังได้รับการยกย่องให้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกอีกด้วย
การทำงานของเพลโตในสถาบันอะเคดามี เป็นไปได้ด้วยดี และในระหว่างนี้เขายังได้ศึกษาหาความรู้หลายด้านทั้งปรัชญาจิตวิทยา ธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้เขายังได้รวบรวมแนวความคิดของนักปรัชญาทั้งหลายเพื่อใช้สอนในสถาบัน และก็ได้ตั้งหลักปรัชญาขึ้นมาใหม่อีกหลายอย่าง โดยงานของเพลโตสามารถแบ่งออกมาได้ถึง 3 ระยะ คือ
ระยะแรกประมาณบั้นปลายชีวิตของโสเครตีส งานเขียนในระยะนี้จะมีแนวความคิดคล้ายคลึงกับโสเครตีสมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณธรรม และความดี เช่น เลกีส (Leges) เป็นเรื่องราวของการค้นคว้าหาความกล้า ไลสีส (Lysis)เป็นเรื่องราวของการค้นหามิตรภาพ และคาร์มีดีส (Charmedes) นอกจากนี้เพลโตยังได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวประวัติของโสเครตีสและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในกรุงเอเธนส์
ระยะที่สองคือช่วงที่เขาออกเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งค่อนข้างจะมีหลากหลายลักษณะ เนื่องจากเขาได้รับอิทธิพลทางความคิดจากนักปรัชญาหลายท่าน และในช่วงนี้เองที่เขาได้ตั้ง ทฤษฎีที่ว่าด้วย แบบ (Theory of Forms) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มาจากแนวความคิดของโสเครตีสที่ว่า ความรู้ทั้งปวงมาจากแบบ ละทฤษฎีที่ว่าด้วยแบบนี้เป็นหัวใจหลักของปรัชญาทั้งหมดของเพลโต แต่ทฤษฎีของเพลโตแตกต่างจากโสเครตีส เนื่องจากเพลโตนำมาขยายเนื้อหาทางอภิปรัชญาที่กว้างขวางขึ้น โดยแบบของเพลโตมีความเป็นอิสระและอยู่เหนือจิต เขาได้นำหลักปรัชญานี้มาจากการพิจารณาความเป็นไปของธณรมชาติอีกส่วนหนึ่ง และทฤษฎีนี้ยังได้กำหนดแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ด้วย โดยเพลโตกล่าวว่า การรับรู้จากสัมผัสทั้งหลาย ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จะแตกต่างกันไปตามความคิดหรือสถานการณ์นั้น เช่น การที่มองเห็นสัตว์ตัวหนึ่ง จะไม่สามารถบอกได้ว่ามันมีขนาดใหญ่หรือเล็ก มันอาจจะมีขนาดใหญ่ถ้าไปเปรียบเทียบกับสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่า หรืออาจจะมีขนาดเล็กถ้าไปเปรียบเทียบกับสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า เป็นต้น และจากทฤษฎีข้างต้นเพลโตสรุปว่า โดยตัวของมันเองไม่มีสรรพสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ที่มีลักษณะแน่นอนตายตัว
ผลงานในช่วงสุดท้ายของเพลโตเป็นสิ่งที่ชัดเจนมากที่สุด เนื่องจากประสบการณ์และความรู้ที่มากมายของเพลโต ภายหลังจากที่ตั้งสำนักอะเคดามีแล้ว ทำให้เขามีผลงานจำนวนมากที่สุด ได้แก่ ปรัชญา จริยศาสตร์ การเมือง การศึกษา และวิทยาศาสตร์ซึ่งสิ่งเหล่านี้เขาได้นำมาถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ที่สถาบันอะเคดามี และงานชิ้นสำคัญที่สุดในช่วงนี้ก็คืองานเขียนที่ชื่อว่า รีพับลิค(Republic) ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองในความคิดของเพลโต แนวความคิดภายในหนังสือเล่มนี้ เกิดขึ้นจากสภาพการเมืองในกรุงเอเธนส์ที่วุ่นวายอย่างมากในขณะนั้น หนังสือเล่มนี้ถือได้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเล่มหนึ่งทั้งในขณะนั้นและต่อมาจนถึงปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้ได้เป็นหนังสือเรียนในวิชารัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด เป็นต้น
ในสายศิลป์
โมเสก Academy ของ Platoสร้างขึ้นในบ้านพักของ T. Siminius Stephanus ในเมือง Pompeiiประมาณ 100 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 100 ซีอี ภาพปูนเปียกของโรงเรียนเอเธนส์ โดยราฟาเอลมีเพลโตเป็นบุคคลสำคัญ นูเรมเบิร์ก Chronicleแสดงให้เห็นถึงเพลโตและอื่น ๆ Schoolmen สมัย
ในทางปรัชญา
ความคิดของเพลโตมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับนักเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาอริสโตเติลซึ่งชื่อเสียงในยุคกลางตะวันตกได้บดบังความคิดของเพลโตจนหมดสิ้นจนนักปรัชญานักวิชาการเรียกอริสโตเติลว่าเป็น “นักปราชญ์” อย่างไรก็ตาม ในอาณาจักรไบแซนไทน์การศึกษาของเพลโตยังคงดำเนินต่อไป
งานที่สงบเพียงงานเดียวที่ชาวตะวันตกรู้จักคือTimaeusจนกระทั่งการแปลเกิดขึ้นหลังจากการล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิลซึ่งเกิดขึ้นระหว่างปี 1453 George Gemistos Plethonนำงานเขียนดั้งเดิมของ Plato จากกรุงคอนสแตนติโนเปิลในศตวรรษแห่งการล่มสลาย เป็นที่เชื่อกันว่า Plethon ได้ส่งสำเนาบทสนทนาไปยังCosimo de’ Mediciเมื่อในปี ค.ศ. 1438 สภาแห่งเฟอร์ราราซึ่งได้รับเรียกให้รวมโบสถ์กรีกและละตินเข้าด้วยกัน ถูกเลื่อนออกไปที่เมืองฟลอเรนซ์ ซึ่ง Plethon ได้บรรยายเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความแตกต่างของเพลโตและเพลโต อริสโตเติลและไล่โคซิโมด้วยความกระตือรือร้น โคซิโมจะจัดหา Marsilio Ficino พร้อมข้อความของเพลโตสำหรับการแปลเป็นภาษาละติน ในช่วงยุคแรกของอิสลามนักวิชาการชาวเปอร์เซียและชาวอาหรับแปลเพลโตเป็นภาษาอาหรับเป็นจำนวนมาก และเขียนคำอธิบายและการตีความเกี่ยวกับผลงานของเพลโต อริสโตเติล และนักปรัชญาเพลโตนิสต์คนอื่นๆ ข้อคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับเพลโตเหล่านี้ได้รับการแปลจากภาษาอาหรับเป็นภาษาลาติน และได้รับอิทธิพลจากนักปรัชญานักวิชาการยุคกลาง
ในศตวรรษที่ 19 ชื่อเสียงของเพลโตได้รับการฟื้นฟู และอย่างน้อยก็เทียบเท่ากับของอริสโตเติล นักปรัชญาชาวตะวันตกที่มีชื่อเสียงได้ดึงเอางานของเพลโตมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อิทธิพลของเพลโตมีอิทธิพลอย่างมากในด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ การฟื้นตัวของเพลโตต่อแรงบันดาลใจบางส่วนของความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตรรกะตั้งแต่อริสโตเติลส่วนใหญ่ผ่านGottlob Fregeและลูกน้องของเขาKurt Gödel , คริสตจักรอลองโซและอัลเฟรด Tarski Albert Einsteinเสนอว่านักวิทยาศาสตร์ที่เอาจริงเอาจังกับปรัชญาจะต้องหลีกเลี่ยงการจัดระบบและมีบทบาทที่แตกต่างกันมากมายและอาจปรากฏเป็น Platonist หรือ Pythagorean โดยที่นักปรัชญาดังกล่าวจะมี “มุมมองของความเรียบง่ายเชิงตรรกะเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้และมีประสิทธิภาพของเขา การวิจัย.” แวร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์กกล่าวว่า “จิตใจของฉันก่อตัวขึ้นจากการศึกษาปรัชญา เพลโต และอะไรทำนองนั้น” และว่า “ฟิสิกส์สมัยใหม่ได้ตัดสินใจสนับสนุนเพลโตอย่างแน่นอน อันที่จริงหน่วยสสารที่เล็กที่สุดไม่ใช่วัตถุทางกายภาพในความหมายทั่วไป เป็นรูปแบบความคิดที่สามารถแสดงได้อย่างแจ่มแจ้งเฉพาะในภาษาคณิตศาสตร์เท่านั้น” ซามูเอล เทย์เลอร์ โคเลอริดจ์กล่าวว่า: ทุกคนเกิดมาทั้ง Platonist หรือ Aristotelian
นักปรัชญาการเมืองและศาสตราจารย์ลีโอ สเตราส์ได้รับการพิจารณาโดยบางคนว่าเป็นนักคิดหลักที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูความคิดอย่างสงบในรูปแบบทางการเมืองที่มากกว่าและเชิงอภิปรัชญาน้อยกว่า แนวทางทางการเมืองของสเตราส์ส่วนหนึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการจัดสรรเพลโตและอริสโตเติลโดยนักปรัชญาการเมืองชาวยิวและอิสลามใน ยุคกลางโดยเฉพาะไมโมนิเดสและอัลฟาราบี ซึ่งตรงกันข้ามกับประเพณีอภิปรัชญาของคริสเตียนที่พัฒนามาจากลัทธินีโอพลาโทนิสม์. ได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจาก Nietzsche และ Heidegger อย่างไรก็ตาม Strauss ปฏิเสธการประณามเพลโตและมองหาการพูดคุยเพื่อหาทางแก้ไขสิ่งที่นักคิดยุคสุดท้ายทั้งสามยอมรับว่าเป็น ‘วิกฤตการณ์ของตะวันตก
WVO Quineขนานนามปัญหาการดำรงอยู่เชิงลบ ” เคราของเพลโต ” Noam Chomskyขนานนามว่าปัญหาของความรู้ปัญหาของเพลโต ผู้เขียนคนหนึ่งเรียกการเข้าใจผิดแบบนิยามว่าเป็นการเข้าใจผิดแบบเสวนา
ในวงกว้างกว่านั้น เพลโตนิยม (บางครั้งแยกความแตกต่างจากทัศนะเฉพาะของเพลโตด้วยอักษรตัวพิมพ์เล็ก) หมายถึงทัศนะที่มีวัตถุนามธรรมมากมาย จวบจนถึงทุกวันนี้ นักเล่นเสียงวิจารณ์ถือเอาตัวเลขและความจริงของคณิตศาสตร์มาสนับสนุนมุมมองนี้อย่างดีที่สุด นักคณิตศาสตร์ส่วนใหญ่คิดเช่นเดียวกับนักเล่นเสียง ว่าตัวเลขและความจริงของคณิตศาสตร์ถูกรับรู้ด้วยเหตุผลมากกว่าความรู้สึกที่ยังคงมีอยู่อย่างอิสระจากจิตใจและผู้คน กล่าวคือ พวกมันถูกค้นพบมากกว่าที่จะประดิษฐ์ขึ้น
การแบ่งแยกเสียงร่วมสมัยยังเปิดกว้างมากขึ้นสำหรับแนวคิดที่ว่าจะมีวัตถุนามธรรมมากมายนับไม่ถ้วน เนื่องจากตัวเลขหรือข้อเสนออาจถือว่าเป็นวัตถุนามธรรม ในขณะที่ Platonism โบราณดูเหมือนจะต่อต้านมุมมองนี้ อาจเป็นเพราะความจำเป็นในการเอาชนะปัญหาของ “หนึ่งและ มากมาย”. เช่นในบทสนทนา Parmenides เพลโตปฏิเสธว่ามีรูปแบบสำหรับสิ่งที่ธรรมดากว่าเช่นผมและโคลน อย่างไรก็ตาม เขาสนับสนุนความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามีรูปแบบของสิ่งประดิษฐ์ เช่น รูปแบบของเตียง คตินิยมร่วมสมัยยังมีแนวโน้มที่จะมองว่าวัตถุที่เป็นนามธรรมไม่สามารถก่อให้เกิดสิ่งใดได้ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่านักเพลโตนิสม์ในสมัยโบราณรู้สึกเช่นนี้หรือไม่
ความจริงที่ว่าปราชญ์ในวัยวุฒิเรียกตัวเองว่า Platon นั้นเถียงไม่ได้ แต่ที่มาของชื่อนี้ยังคงลึกลับ Platonเป็นชื่อเล่นจากคำคุณศัพท์ ‘broad’ แม้ว่าPlatonจะเป็นชื่อสามัญทั่วไป (31 รายที่รู้จักในเอเธนส์เพียงแห่งเดียว) ชื่อนี้ไม่ปรากฏในสายตระกูลที่รู้จักของเพลโต แหล่งที่มาของ Diogenes Laërtius กล่าวถึงเรื่องนี้โดยอ้างว่าโค้ชมวยปล้ำของเขา Ariston of Argos ขนานนามเขาว่า “กว้าง” เนื่องจากหน้าอกและไหล่ของเขา หรือ Plato ได้ชื่อมาจากความกว้างของคารมคมคายหรือของเขา หน้าผากกว้าง ขณะระลึกถึงบทเรียนทางศีลธรรมเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างประหยัดเซเนกากล่าวถึงความหมายของชื่อเพลโต: “ชื่อจริงของเขาถูกตั้งให้เขาเพราะหน้าอกกว้างของเขา”
ชื่อจริงของเขาคือ Aristocles หมายถึง ‘ชื่อเสียงที่ดีที่สุด อ้างอิงจากส Diogenes Laërtius เขาได้รับการตั้งชื่อตามปู่ของเขา ซึ่งเป็นเรื่องปกติในสังคมเอเธนส์ แต่มีเพียงหนึ่งจารึกของอริสโตเคิลส์ อาร์คตอนต้นของเอเธนส์ใน 605/4 ปีก่อนคริสตกาล ไม่มีบันทึกบรรทัดใดจากอริสโตเคิลส์ถึงอริสตันบิดาของเพลโต เมื่อเร็ว ๆ นี้นักวิชาการคนหนึ่งได้โต้แย้งว่าแม้แต่ชื่อ Aristocles สำหรับ Plato ก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ในภายหลัง อย่างไรก็ตาม นักวิชาการอีกคนหนึ่งอ้างว่า “มีเหตุผลที่ดีที่จะไม่ปฏิเสธ [ความคิดที่ว่าอริสโตเคิลส์เป็นชื่อจริงของเพลโต] เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ของนักเขียนชีวประวัติของเขา” โดยสังเกตว่าเรื่องราวดังกล่าวแพร่หลายมากเพียงใดในแหล่งข้อมูลของเรา
แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านมานานกว่า 2,500 ปีแล้ว แต่หลักการปรัชญาของเพลโตก็ยังคงมีอิทธิพลต่อแนวความคิดของการศึกษา ด้านต่าง ๆ ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาจิตวิทยา ธรรมชาติ หรือแม้แต่วิทยาศาสตร์ เพลโตเป็นนักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก อีกทั้งท่านยังเป็นอาจารย์ของนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกอย่าง อาริสโตเติล เพลโตเป็นนักปรัชญาที่วางรากฐานทางการศึกษาวิชาต่าง ๆ ไว้มากมาย เช่น การปกครอง วิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์ เป็นต้น
กฎที่สำคัญทางวิทยาศาสตร์อีกชิ้นหนึ่งของเพลโตคือ กฎที่เกี่ยวกับแสงที่ว่าแสงเดินทางเป็นเส้นตรง เมื่อแสงมากระทบวัตถุมุมแสงตกกระทบจะเท่ากับมุมแสงสะท้อน เป็นกฎที่ถูกต้องและยึดถือกันมาจนถึงปัจจุบัน เพลโตเสียชีวิตเมื่อ 347 ก่อนคริสต์ศักราชแม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่แนวความคิดและผลงานทางวิทยาศาสตร์ของเขาก็มีอิทธิพลต่อนักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน
Comments are closed