สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์
นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 44 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2425 พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในสาขาวิชารัฐศาสตร์ การปกครองและสาขาวิชาประวัติศาสตร์ ทรงเคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และอภิรัฐมนตรี ในรัชกาลที่ 7 พระองค์สิ้นพระชนม์วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2475 เป็นพระปัยกา (ทวด) ใน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ และทรงเป็นต้นราชสกุลยุคล
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ มีพระนามเดิมว่าพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ายุคลทิฆัมพร เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ประสูติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2425 ณ พระตำหนักสวนบัว ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระที่นั่งวิมานเมฆภายในพระราชวังดุสิต
พระองค์มีพระโสทรกนิษฐภคินี 3 พระองค์ ซึ่งมีพระนามที่คล้องจองกัน ได้แก่ พระองค์เจ้าชายยุคลฑิฆัมพร พระองค์เจ้าหญิงนภาจรจำรัสศรี พระองค์เจ้าหญิงมาลินีนพดารา และพระองค์เจ้าหญิงนิภานภดล ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2431 พระองค์และพระขนิษฐาจึงได้รับเลื่อนพระยศเป็นพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้า
วันที่ 17 มีนาคม ร.ศ. 110 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร จุฬาลงกรณ์ราชรวิวงษ์ อุภัยพงษพิสุทธิ วรุตโมภโตสุชาติ บรมนารถราชกุมาร กรมหมื่นลพบุราดิศร ทรงศักดินา 40,000
พระกรณียกิจ
ภายหลังจากที่พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในสาขาวิชารัฐศาสตร์ การปกครองและสาขาวิชาประวัติศาสตร์ แล้วทรงเสด็จกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยปลัดทูลฉลอง และเจ้ากรมพลังภังค์ (กรมการปกครอง) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล และอุปราชมณฑลปักษ์ใต้ ทรงประทับ ณ พระตำหนักเขาน้อย จังหวัดสงขลา และ วังโพธิยายรด จังหวัดนครศรีธรรมราช (ปัจจุบันเป็น โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช) ทรงตั้งกรมเสือป่ามณฑลนครศรีธรรมราช
ในขณะที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาล และสมุหเทศาภิบาล ผู้สำเร็จราชการมณฑลนครศรีธรรมราช ระหว่างปี พ.ศ. 2453 – 2458 และอุปราชมณฑลปักษ์ใต้ ระหว่างปี พ.ศ. 2458 – 2468 พระองค์ทรงเลือกเอาเมืองสงขลาเป็นที่ตั้งที่ว่าการมณฑล โดยการโปรดให้สร้างพระตำหนักเขาน้อยสำหรับเป็นที่ประทับอย่างถาวร ตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งทางการปกครองได้พัฒนาด้านการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการศึกษาให้เจริญยิ่งขึ้นอย่างมาก และที่สำคัญพระองค์ทรงช่วยปกป้องแผ่นดินภาคใต้ให้พ้นวิกฤตการจากการคุกคามของอังกฤษ และทรงมีส่วนสำคัญยิ่งที่ทำให้แผ่นดินปักษ์ใต้ทั้งหมดยังคงเป็นผืนแผ่นดินในราชอาณาจักรไทยมาได้ตราบเท่าทุกวัน
พระตำหนักเขาน้อย ที่ประทับเมื่อครั้งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ทรงดำรงตำแหน่งอุปราชมณฑลปักษ์ใต้
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยและอภิรัฐมนตรี
ก่อนสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2475 ทรงดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรี องคมนตรี สมุหมนตรี ราชองครักษ์พิเศษ นายทหารพิเศษกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ จ.ป.ร. และนายทหารพิเศษประจำกรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร.
สิ้นพระชนม์
นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ประชวรพระโรคพระหทัย สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2475[6] สิริพระชันษา 50 ปี 22 วัน โดยในวันที่ 9 เมษายน พุทธศักราช 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องเต็มยศทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ จ.ป.ร. ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์สอดสายสะพายจุลจอมเกล้า เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระราชวังดุสิตไปยังวังลดาวัลย์ ประทับบนพระตำหนัก พระราชทานน้ำสรงพระศพ เจ้าพนักงานประโคมกลองชนะ 40 จ่าปี่ 1 จ่ากลอง 1 แตรงอน 8 แตรฝรั่ง 8 สังข์ 1 ตามพระเกียรติยศ พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าฝ่ายใน และข้าทูลละอองธุลีพระบาทชั้นผู้ใหญ่ถวายน้ำสรงพระศพต่อไป เจ้าพนักงานภูษามาลาทรงเครื่องสุกรรมพระศพเชิญลงสู่พระลองใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสวมพระชฎาพระราชทานแล้ว เจ้าพนักงานเชิญขึ้นประดิษฐานเหนือชั้นแว่นฟ้า 3 ชั้น ภายใต้เบญจปฎลเศวตฉัตรประกอบพระโกศกุดั่นใหญ่ประดับพุ่มยอดและเฟื่อง แวดล้อมด้วยเครื่องสูง 1 สำหรับ ชุมสาย 2 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ 40 รูป มีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เป็นประธานสดับปกรณ์ แล้วถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการพระธรรมที่พระแท่นพระสวดอภิธรรม แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมทั้งหลางวันกลางคืน รับพระราชทานฉันอาหารภัตต์เช้า 8 รูป เพล 4 รูป มีประโคมกลองชนะ 20 จ่าปี่ 1 จ่ากลอง 1 แตรงอน 4 แตรฝรั่ง 4 สังข์ 1 ประจำยาม และไว้ทุกข์ในพระราชสำนักมีกำหนด 60 วัน
โดยมีพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พุทธศักราช 2475 ณ พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระโกศทองใหญ่ พร้อมด้วยเครื่องพระราชอิสสริยยศ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส มีนาคม พุทธศักราช 2475 และในวันที่ 2 มีนาคม พุทธศักราช 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส
พระอนุสรณ์
จากคุณงามความดีของพระองค์นานัปการ จังหวัดสงขลามีความตระหนักเป็นอย่างยิ่งในพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ผู้ทรงวางแผนการปกครองบ้านเมืองในปักษ์ใต้ จึงได้พร้อมใจกันดำเนินการจัดสร้าง พระอนุสาวรีย์พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ประดิษฐานไว้บนยอดเขาน้อย โดยกำหนดวางศิลาฤกษ์เมื่อวันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2535 เวลา 09.29 น. เมื่อการสร้างพระอนุสาวรรีย์พระรูปของพระองค์ท่านได้แล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะยังดำรงพระยศเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฯ มาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดพระอนุสาวรีย์ ในวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2538 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ท่าน คล้ายกับว่าพระองอค์ทรงเสด็จกลับมาประทับอยู่กับชาวสงขลา และชาวปักษ์ใต้ ตลอดไป
ข้าราชการและประชาชนได้มีการจัดพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ พระอนุสาวรีย์ พลเอกสมเด็จฯ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ เนื่องในวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ ในวันที่ 8 เมษายน ของทุกปี เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและพระกรุณาธิคุณของพระองค์ที่มีต่อประเทศชาติและชาวปักษ์ใต้
พระโอรส-พระธิดา
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ทรงเป็นต้นราชสกุลยุคล โดยทรงเสกสมรสกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล พระธิดาในสมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช กับ หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา มีพระโอรส คือ
พลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล
พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร
พลโท พลเรือโท พลอากาศโท พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ
นอกจากนี้ยังทรงมีหม่อมอีกคนหนึ่งคือ หม่อมราชวงศ์หญิงลดา ธิดาในหม่อมเจ้าสง่างาม สุประดิษฐ์ แต่ไม่มีพระโอรสหรือพระธิดา
“ตลอดช่วงเวลา 15 ปี พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองที่ข้าราชการ และราษฎรรักใคร่เป็นอย่างยิ่ง ทรงประกอบพระกรณียกิจที่สร้างคุณประโยชนน์ต่อชาวใต้อย่างมหาศาล สำหรับจังหวัดสงขลา พระองค์ยังได้ทรงสร้างสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ พระตำหนักเขาน้อย วังขาว วังเขียว โรงเรียนวรนารีเฉลิม และเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแด่พระองค์ กรมทางหลวง ได้ตัดถนนหมายเลข 414 เชื่อมระหว่างสงขลา-หาดใหญ่ และตั้งชื่อถนนสายนี้ว่า “ถนนลพบุรีราเมศวร์” เส้นทางสายนี้เป็นที่รู้จักของคนใช้เส้นทางสงขลา-หาดใหญ่”
ระหว่างปี พ.ศ. 2453-2458 โปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล มณฑลนครศรีธรรมราช ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ที่เมืองสงขลา ท่านนับเป็นเจ้านายพระองค์แรก และพระองค์เดียวที่เป็นข้าหลวงต่างพระเนตร พระกรรณ แห่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช และเป็นอุปราชปักษ์ใต้ ซึ่งมีอำนาจบังคับบัญชา มณฑลสุราษฎร์ธานี มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลปัตตานี ระหว่างปี พ.ศ.2458-2468 รวมระยะเวลาที่ประทับอยู่ภาคใต้นานถึง 15 ปี
Comments are closed