ประวัติ พระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ

jumbo jili

พระโคตมพุทธเจ้า (Gautama Buddha) หรือมักนิยมเรียกเพียง พระพุทธเจ้า หรือนามเดิมคือ เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธ ถือกันว่าพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ระหว่าง 80 ปีก่อนพุทธศักราช จนถึงเริ่มพุทธศักราชซึ่งเป็นวันปรินิพพาน ตรงกับ 543 ปีก่อนคริสต์กาลตามตำราไทยอ้างอิงปฏิทินสุริยคติไทยและปฏิทินจันทรคติไทย และ 483 ปีก่อนคริสตกาลตามปฏิทินสากล

สล็อต

ในดินแดนที่ปัจจุบันเป็นประเทศอินเดียและเนปาล ถือกันว่าพระองค์มีเชื้อชาติอริยกะ หรือชาติผู้เจริญ และเป็นชาวชมพูทวีป (สมัยนั้นยังไม่มีประเทศอินเดีย และเนปาล)พระองค์ประสูติในฐานะเจ้าชายแห่งแคว้นศากยะ (สักกะ) ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ โคตมะ แต่ได้ออกผนวชและทรงตรัสรู้เมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา
ในพระไตรปิฏกกล่าวว่า พระพุทธเจ้าของเราได้ทำความดี(บารมี)มาในชาติก่อน ๆ นับชาติไม่ถ้วน (ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านถูกเรียกว่า พระโพธิสัตว์) พระชาติอื่น ๆ ที่ชาวพุทธรู้จักกันดี ได้แก่ พระเวสสันดร พระเตมีย์ พระมหาชนก เป็นต้น พระพุทธเจ้า หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของ พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
ประวัติพระพุทธเจ้าช่วงประสูติ
พระพุทธเจ้า มีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ โดยในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเนปาล เจ้าชายสิทธัตถะมีพระราชมารดาพระนามว่า พระนางสิริมหามายา ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์แห่งราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติเมื่อ 80 ปีก่อนพุทธศักราช ณ สวนลุมพินีวัน บริเวณใต้ต้นสาละที่อยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ ในปัจจุบัน คือ ตำบลรุมิเด ประเทศเนปาล ในขณะนั้นได้มีพราหมณ์ทั้ง 8 ได้ทำนายเอาไว้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ หมายความว่า ถ้าดำรงตนในฆราวาสก็จะได้เป็นจักรพรรดิ แต่ถ้าออกบวชก็จะได้เป็นศาสดาเอกของโลก ในทางตรงกันข้าม โกณฑัญญะ พราหมณ์ผู้ที่อายุน้อยที่สุดในจำนวนพราหมณ์ทั้ง 8 ได้ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ทันที่ที่ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว มีดอกบัวผุดรองรับ และทรงเปล่งพระวาจาว่า เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา
ประวัติพระพุทธเจ้าช่วงวัยเด็ก
ภายหลังการประสูติได้ 7 วัน พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ เจ้าชายสิทธัตถะจึงได้ทรงไปอยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา เพื่อเติบใหญ่ขึ้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบระดับสูงของการศึกษาทางโลกในสมัยนั้น คือ ศิลปศาสตร์ จำนวน 18 ศาสตร์ในสำนักครูวิศวามิตร ครั้นพระบิดาไม่ประสงค์ที่จะให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอก พระองค์จึงพยายามให้เจ้าชายสิทธัตถะพบแต่ความสุขทางโลก อาทิ การสร้างปราสาท 3 ฤดู และเมื่อมีพระชนมายุครบ 16 ปี ก็ได้ให้เจ้าชายสิทธัตถะอภิเษกกับนางพิมพา หรือนางยโสธรา ผู้เป็นพระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะที่เป็นพระญาติฝ่ายมารดา จากนั้นต่อมาเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมาพระชนมายุได้ 29 พรรษา พระนางพิมพาก็ได้กำเนิดพระโอรสนามว่า ราหุล (บ่วง)
ประวัติพระพุทธเจ้าช่วงเสด็จออกผนวช
เจ้าชายสิทธัตถะได้ตัดสินใจพระทัยออกบวช เมื่อพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณตามลำดับ พระองค์ก็ได้ทรงคิดว่าชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงมีแนวความคิดเกิดขึ้นว่า ธรรมดาในโลกนี้มีของอยู่คู่กัน เช่น มีร้อนก็ต้องมีเย็น มีทุกข์ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องมีที่สุดทุกข์ คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พระองค์ทรงเห็นความสุขทางโลกเป็นเพียงเรื่องมายา ความสุขในกามคุณเป็นความสุขจอมปลอม เป็นเพียงภาพมายาที่ชวนให้หลงว่าเป็นความสุขเท่านั้น ไม่มีความเพลิดเพลินใดที่ไม่มีความทุกข์เจือปน วิถีทางที่ช่วยให้พ้นจากความทุกข์ของชีวิตเช่นนี้ได้และหนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสารก็จะต้องสละเพศผู้ครองเรือนเป็นสมณะ สิ่งที่พระองค์พบเห็นเรียกว่า เทวทูต (ทูตสวรรค์) จึงได้ตัดสินพระทัยออกผนวชในวันที่ราหุลน้อยประสูติไม่เท่าไหร่ พระองค์ก็ทรงม้ากัณฐะออกผนวชโดยมีนายฉันทะตามเสร็จ การเดินทางได้มุ่งตรงไปที่แม่น้ำอโนมานที ตัดพรเกศา และเป็นเครื่องทรวเป็นผ้าสาสพักตร์ พระองค์ทรงเปลื้องเครื่องทรงแล้วมอบให้นายฉันทะนำกลับพระนคร ซึ่งการออกบวครั้งนี้เรียกว่า การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (กาเสด็จ) ออกเพื่อคุณอันย่งใหญ่ ต่อมาสิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวชแล้ว จึงมุ่งหน้าตรงไปที่แม่น้ำคย แคว้นมคธ เพื่อเป็นการค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร ซึ่งเมื่อเรียนจบทั้งสองสำนักแล้ว ก็ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ตามที่มุ่งหวังไว้

สล็อตออนไลน์

ประวัติพระพุทธเจ้าช่วงตรัสรู้ (15 ค่ำเดือน 6)
ขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ นางสุชาดา ได้ถวายข้าวมะธุปายาส (ข้าวที่หุงด้วยนม) ที่ใต้ต้นไทร เมื่อเสวยแล้วก็ทรงลอยถาดทองในแม่น้ำเนรัญชรา และได้อธิษฐานเสี่ยงทาย ต่อมาในเวลาเย็นโสตถิยะถวายหญ้าคา 8 กำมือโดยปูลาดเป็นอาสนะ บริเวณโคนใต้ต้นโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา โดยทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะบรรลุโพธิญาณ ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก อีกทั้งพระองค์ยังทรงบรรลุรูปฌาณทั้ง 4 ชั้น แล้วใช้สติปัญญาพิจารณาจนเกิดความรู้แจ้ง เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นแจ้งแล้ว จึงละอุปาทานและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประวัติพระพุทธเจ้าช่วงปัจฉิมกาล
เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้เดินทางไปแสดงธรรม ณ ที่ต่างๆ รวมถึงโปรดพระพุทธบิดาและประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ จากนั้นพระองค์ก็ได้ทรงปลงสังขารก่อนปรินิพานเป็นเวลา 3 เดือน และช่วงเวลาก่อนปรินิพพานเพียง 1 วัน นายจุนทะ ก็ได้ถวายสุกรมัททวะ (หมูอ่อน) พระพุทธเจ้าได้เสวยจนมีอาการประชวร พระอานนท์โกรธมาก พุทธองค์จึงทรงตรัสว่า “บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ , ปรินิพพาน” นับแต่นั้น พระพุทธองค์ก็ทรงให้โอวาทเรื่อยมาจนมาถึงปัจฉิมโอวาท และพระพุทธเจ้าก็ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยานของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ รวมพระชนมายุได้ 80 พรรษา และทรงเทศนาสั่งสอนทางพระพุทธศาสนามาเป็นเวลานานกว่า 45 ปี
พระพุทธองค์ทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบส แต่ทิพยจักษุญาณได้บอกว่า ทั้งสองสิ้นชีพไปแล้ว จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ทรงทราบว่า ปัญจวัคคีย์อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน จึงได้เสด็จไปแสดงปฐมเทศนา คือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรด ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหบูชานั่นเอง ซึ่งกล่าวถึงสุด 2 อย่าง อันบรรพชิต ไม่ควรปฏิบัติ คือการลุ่มหลงมัวเมาในกาม 1 การทรมาณตนให้ลำบากเปล่า 1 มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางที่ควรดำเนิน คืออริยสัจ 4 และมรรคมีองค์แปด
ในที่สุด ท่านโกณฑัญญะ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาบัน พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่า
บาลี : อัญญาสิ วต โภ โกณฑัญโญ
ไทย : โกณฑัญญะ เธอได้รู้แล้ว เธอได้เข้าใจแล้ว

jumboslot

ท่านโกณฑัญญะ จึงได้สมญาว่า พระอัญญาโกณฑัญญเถระ และได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา เป็นเหตุให้พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบองค์ 3 เป็นครั้งแรกในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
จากนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร พระภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ขณะสดับพระธรรมเทศนาส่งจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนา จิตก็หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ไม่ยึดมั่น ถือมั่นด้วยอุปาทาน สามารถละสังโยชน์ครบ 10 ประการ ได้บรรลุพระนิพพานเป็นพระอรหันต์พร้อมกันทั้ง 5 รูป
ยสะและญาติออกบวช
หลังจากโปรดปัญจวัคคีย์เป็นกลุ่มแรกแล้ว ก็มียสะที่หนีออกจากเมืองพาราณสี และพระญาติอีก 54 คนเข้ามาขอบวชและฟังพระธรรมเทศนาจนได้พระอรหันต์สาวก 60 รูป พระองค์ทรงส่งพระสาวกเหล่านี้ออกไปประกาศพระศาสนาตามตำบลต่าง ๆ และได้แสดงธรรมแก่เศรษฐีคนหนึ่ง เป็นชาวเมืองพาราณสี นางสุชาดา มารดาของพระยสเถระ และนางวิสาขา ภรรยาเก่าของท่าน จนบรรลุโสดาบัน ขอแสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกา และถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นับเป็นอุบาสกคนแรก และอุบาสิกาคู่แรกที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
โปรดภัททวัคคีย์
จากนั้น พระองค์ได้เสด็จไปตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ก่อนที่จะไปที่นั่น ได้พบกับภัททวัคคีย์ที่กำลังตามหานางคณิกาซึ่งโขมยเสื้อผ้าและเครื่องประดับของเขาไป พระพุทธองจึงทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ 4 โปรด ภัททวัคคีย์จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลระดับต่าง ๆ เช่น โสดาบัน สกทาคามี จากนั้นจึงขอบวช พระพุทธองค์ได้ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา จากนั้นพระพุทธองค์ทรงส่งภัททวัคคีย์ไปประกาศพระศาสนา เมื่อครบ 30 คนแล้วจึงเดินทางต่อไป
โปรดชฎิล 3 พี่น้อง
เมื่อถึงแม่น้ำเนรัญชรา ก็ได้พบกับชฎิล 3 พี่น้องได้แก่ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ และบริวาร 1,000 คน (อุรุเวลฯ 500 คน, นทีฯ 300 คน และคยาฯ 200 คน) ซึ่งเป็นนักบวชลัทธิบูชาไฟ และเป็นที่เคารพบูชาของชาวกรุงราชคฤห์ ในครั้งแรก พระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์โดยการปราบพญานาคให้มีขนาดเล็ก ครั้งที่สองทรงแสดงพุทธานุภาพ คือมีเทวดามาเข้าเฝ้า และครั้งสุดท้ายทรงแสดงนิมิตจงกรมกลางน้ำ แต่ถึงอย่างไร อุรุเวลกัสปะก็ไม่เลื่อมใสอยู่ดี จนพระพุทธองค์ต้องแสดงธรรมโปรด ทำให้อุรุเวลกัสสปะเกิดความเลื่อมใสขอบวชเป็นพระสาวก พระพุทธเจ้าจึงทรงให้อุรุเวลฯ ไปชี้แจงแก่บริวาร 500 คนให้รับทราบ บริวารทั้งหมดรับทราบและขอบวชจากพระพุทธเจ้า จากนั้น เรื่องจึงได้ทราบถึงนทีฯ ซึ่งมีบริวาร 300 คน และคยาฯ ซึ่งมีบริวาร 200 คน ชฎิลทั้ง 2 และบริวารทั้งหมดจึงขอบวชตาม พระพุทธองค์ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา จากนั้น พระพุทธเจ้าทรงพาทั้ง 1,003 รูปไปที่คยาสีสะ แล้วทรงแสดงธรรม อาทิตตปริยายสูตร แก่ชฎิลทั้ง 3 และบริวาร ทั้งหมดจึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

slot

โปรดพระเจ้าพิมพิสาร
พระพุทธองค์ทรงพาชฎิล 3 พี่น้อง และบริวารจำนวน 1,000 รูป ไปยังกรุงราชคฤห์ ทรงพักที่ สวนตาลหนุ่ม เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบข่าว จึงได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยข้าราชบริพารไปเข้าเฝ้า เมื่อเสด็จไปสวนตาล พระเจ้าพิมพิสารทรงนมัสการพระพุทธเจ้า ส่วนข้าราชบริพารบางส่วนยังทำเมินเฉยอยู่
พระพุทธองค์จึงทรงทำลายทิฐิมานะของข้าราชบริพารเหล่านั้นลง โดยถามพระอุรุเวลกัสสปะถึงเหตุที่เลิกศรัทธาลัทธิบูชาไฟ อุรุเวลฯ ตอบว่า ลัทธิเดิมของตนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าในประชาชนทั้งหลายได้ทราบโดยทั่วกัน พระพุทธเจ้าทรงสังเกตเห็นบรรดาข้าราชบริพารของพระเจ้าพิมพิสารได้คลายทิฐิมานะลงแล้ว จึงทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ข้าราชบริพาร และประชาชนทั้งหลาย

Comments are closed